วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2556

สัตว์เลี้ยงของฉัน (ใบงาน)

สัตว์เลี้ยงของฉัน ใบงานวิชาเกษตร (ป.6)
สำหรับคนงานค้างคับ


สุนัข ชิวาวา

ชิวาวา หมาพันธุ์จิ๋ว 

          "เล็กใหญ่ไม่เกี่ยว มันอยู่ที่ใจ"…คำพูดนี้อย่าตีความหมายเป็นอย่างอื่น มันเป็นการยืนยันความรักของ "ชิวาวา" สุนัข ที่หลายคนรู้จักมักคุ้นว่า "หมากระเป๋า" ที่มีให้กับนายของมัน

          คุณวรุทัย แก้วกำแพง เจ้าของคอก สุนัข ชิวาวา ทีคัพสวีทโฮม อยู่หมู่บ้านเศรษฐสิริ สนามบินน้ำ นนทบุรี บอกว่า กำเนิด สุนัข ชิวาวา เชื่อกันว่าอยู่ในเม็กซิโก

          หลายๆ คนลงความเห็นว่า สุนัข ชิวาวา มีนิสัยที่ค่อนข้างติดเจ้าของและไม่ทำลายข้าว ขี้ประจบมาก อ้อน บางครั้งก็เป็น สุนัข ที่หยิ่งในตัว ถ้าไม่ใช่เจ้าของจะไม่ให้จับต้อง ปากเปราะเห่าเสียงดังเหมือน สุนัข พันธุ์เล็กตัวอื่นๆ ทำให้ สุนัข ชิวาวา เหมาะที่จะเลี้ยงไว้สำหรับเป็นเพื่อนมากกว่าหมาเฝ้าบ้าน

          สุนัข ชิวาวา เพศผู้อายุ 1 ปี จะเริ่มเป็นสัดซึ่งเร็วกว่าเพศเมีย เริ่มเหล่หนุ่มตอนช่วงอายุ 18 เดือน หลังจากผสมพันธุ์แล้วตกลูกเต็มที่ 1-3 ตัว น้ำหนักตั้งท้องจะมีขนาด 2 กิโลกว่า ลูกสุนัข มีน้ำหนัก 1 ขีด ไม่เกิน 2 ขีด มีขนาดเล็กมาก แรกเพิ่งคลอดต้องคอยดูแลให้ สุนัข กินนมแม่ ซึ่งช่วงนี้ควรระวังเรื่องโรคต่างๆ

          พออายุราวเดือนครึ่ง ควรเริ่มฝึกให้ สุนัข ชิวาวา กินอาหารเม็ดด้วยการแช่น้ำให้นิ่ม หรือผสมนมแพะเล็กน้อย หรือให้ อาหารเหลวสำหรับ ลูกสุนัข เป็นการฝึกให้สุนัขเลียหรือกินอาหารได้เอง

          สีสันกลายเป็นข้อแบ่งเกรดและราคาของ สุนัข ชิวาวา สีตามมาตรฐานสายพันธุ์ก็คือน้ำตาล แต่บรีด (ผสม) กันไปบรีดกันมา จนเกิดสีหลากหลาย เช่น สีซอค สีดำ สีน้ำตาล สีทั่วไปอย่างที่เห็น เป็นสีขาว ดำ สีแฟนซี

          ส่วนรูปร่างลักษณะที่เป็น สุนัข ชิวาวา ที่ดีสมบูรณ์แบบ หัวหรือกะโหลกศีรษะต้องกลม หน้าจะต้องสั้น ส่วนเรื่องลำตัวจะยาวหรือไม่แค่ไหนนั้นแล้วแต่ตัว สุนัข ขาต้องไม่ยาว ควรอยู่ในสัดส่วนที่พอดี ดูแล้วเป็นทรงสี่เหลี่ยม เมื่อมองจากลำตัวที่ตัดจากลำคอไปถึงหาง การเดินต้องเดินเตะเหมือนม้า วิ่งเหยาะๆ คล่องแคล่ว มีนิสัยที่ปราดเปรียว กระโดดโลดเต้น ชื่นชอบการออกกำลังกาย

          เมื่อ สุนัข ชิวาวา โตเต็มวัยน้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ 1.8-2.7 กก. ซึ่งที่ฟาร์มจะบรีดได้เล็กสุดอยู่ที่น้ำหนัก 1.5 กก. แม้ว่ามันจะได้ชื่อว่าเป็น สุนัขที่ตัวเล็กที่สุดในโลกแล้วก็ตาม ปัจจุบันก็ยังมีคนผสมดูแลให้ ชิวาวา เล็กจิ๋วลงไปอีก และ ทำได้อย่างไม่น่าเชื่อ!!..

          แม้ว่าหมากระเป๋าจะตัวเล็ก แต่อายุโดยเฉลี่ยของ สุนัข ชิวาวา อยู่ที่ 15 ปี ซึ่งเท่ากับ สุนัข สายพันธุ์อื่นๆ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลที่ต้องระวังเป็นพิเศษ…ทั้งสุขอนามัยและอย่าให้โรคภัยเบียดเบียน

          ...ถึงตอนนี้ก็คงอยากจะได้ สุนัข ชิวาวา มาเป็นเพื่อนแล้วซิ สำหรับหลายๆ คนที่คิดจะเปิดบ้านรับ สุนัข พันธุ์จิ๋วเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ แต่ยังไม่แน่ใจเรื่องการดูแล

..................................................................................................................................................


สุนัข พันธุ์ ชิสุ


           เพราะภาพลักษณ์หมาน้อยตากลมโต  ผูกโบว์ที่หน้าผาก มีขนยาวสวย ดูสง่างาม ขนาดพอเหมาะ พาไปไหนมาไหนได้ไม่ลำบาก แถมยังนิสัยเป็นมิตร ขี้เล่น และช่างประจบ เลยทำให้มีผู้คนจำนวนไม่น้อยหลงใหลได้ปลื้มเจ้าสุนัขพันธุ์ "ชิสุ" และเลี้ยงเป็นสมาชิกสี่ขาประจำครอบครัวกันอย่างแพร่หลาย แต่รู้ไหมว่าประวัติความเป็นมาของ สุนัข ชิสุ น่ะ เป็น ถึง 1 ใน 3 สุนัข ชั้นสูงจากจักรพรรดิจีนเชียวนะ
           ทั้งนี้ บรรพบุรุษของ สุนัข ชิสุห์ นั้น มีการคาดเดาว่ามีต้นกำเนิดจากทิเบต เนื่องจากตามประวัติศาสตร์ของชาวทิเบตถือว่าสิงโตเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อทางศาสนา พระชาวทิเบต (Lama) จึงได้ผสม สุนัข พันธุ์เล็กขึ้นมาให้มีลักษณะคล้ายคลึงกับสิงโต ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าลักษณะขนแผงคอของ ชิสุ จะเหมือนกับสิงโต อีกทั้งท่าทางการเดินหรือการเคลื่อนไหวก็แลดูสง่างาม และชื่อ "ชิสุ" (Shih Tzu) ซึ่งเป็นคำในภาษาจีน ก็แปลว่า สิงโต ด้วย

           ต่อมาทิเบตได้ส่ง สุนัข ชิสุ มาเป็นหนึ่งในเครื่องบรรณาการแก่จักรพรรดิราชวงศ์ชิง ราชวงศ์สุดท้ายของจีน  ซึ่งพระนางซูสีไทเฮา ทรงโปรดการเลี้ยง สุนัข มาก โดยมี สุนัข พันธุ์ปักกิ่ง ปั๊ก และชิสุ ที่ได้รับการดูแลอย่างดีจากพระองค์ ชนิดหรูหราและฟุ่มเฟือย ในอดีตจึงเป็นที่รู้กันดีว่า ชิสุ เป็น สุนัข ที่มีชนชั้น  นิยมเลี้ยงกันเฉพาะในราชสำนักของและนับเป็นสิ่งสูงค่าสำหรับสามัญชน 
           ในปี ค.ศ.1908  เมื่อพระนางซูสีไทเฮาสิ้นพระชนม์ สุนัข ชิสุ ทรงเลี้ยงในพระราชวังก็กระจัดกระจายหายไป แต่ก็มี ชิสุ บางส่วนที่ถูกลักลอบนำไปผสมข้ามสายพันธุ์ ทำให้ ชิสุ ขยายพันธุ์ไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นในอังกฤษ และทั่วยุโรป ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และเป็นสายพันธุ์ที่นิยมเลี้ยงกันถึงปัจจุบัน  เนื่องจาก ชิสุ เป็น สุนัข พันธุ์เล็ก อีกทั้งมีของลักษณะขนและหน้าตา ที่จะสร้างความเพลิดเพลินในการเลี้ยงดูของเจ้าของที่ชอบแต่งตัวให้ สุนัข แต่คงไม่เหมาะนักสำหรับเจ้าของที่ไม่มีเวลา

ลักษณะทั่วไปของ สุนัข ชิสุ
           ชิสุ เป็น สุนัข ขนาดเล็กในกลุ่มทอย (Toy Group) มีน้ำหนักประมาณ 4.5 - 7.5 กิโลกรัม (หรือราว 10 - 16 ปอนด์) ส่วนสูงประมาณ 25 - 27 ซม. (หรือราว 10 - 11 นิ้ว) ทั้งนี้ ชิสุ มีลักษณะนิสัย กล้าหาญ มีความตื่นตัว ขี้ประจบ มีความสง่าอยู่ในตัว เดินหน้าเชิด การย่างก้าวสง่าผ่าเผย นอกจากนี้ ชิสุ ยังรักความสะอาด เป็นมิตรกับทุกคน ปรับตัวได้ดี และชอบที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ กับเจ้าของในทุกเรื่อง แล้วก็ไม่ชอบถูกทิ้งไว้ในบ้าน

           ข้อบกพร่องของสายพันธุ์ ชิสุ
           ข้อบกพร่องของ ชิสุห์ ที่จัดว่าร้ายแรงตามมาตรฐานของ AKC : American Kennel Club (สมาคมสุนัขแห่งสหรัฐอเมริกา) ที่ยอมรับกันทั่วโลก มีดังนี้

            - ศีรษะแคบเกินไป
            - ฟันบนเกยฟันล่าง
            - ขนสั้น หรือขนที่ได้รับการขลิบให้สั้น
            - จมูกหรือหนังบริเวณขอบตาสีชมพู
            - ดวงตามีขนาดเล็กหรือมีสีจาง
            - ขนบาง ไม่ดกหนา
            - มุมหักตรงช่วงรอยเชื่อมระหว่างจมูกและหน้าไม่เด่นชัด

อาหารและการเลี้ยงดู สุนัข ชิสุ

           ชิสุห์ มีอายุค่อนข้างยืนยาว คือประมาณ 10-18 ปี ตามแต่ปัจจัยต่างๆ เช่น อาหาร และการเลี้ยงดู โรคที่มักเกิดขึ้นกับ ชิสุ คือโรคตาแห้ง โรคหูน้ำหนวก หูอักเสบ โดยเจ้าของควรหมั่นทำความสะอาดตาและหูของ ชิสุ อย่างสม่ำเสมอด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดของมันโดยเฉพาะ ส่วนโรคอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับ ชิสุ ได้ เช่น โรคนิ่ว โรคไต และไส้เลื่อน

           ปกติ ชิสุห์ จะเป็นมิตรกับคน นิ่งและดูสงบ ดูจะเป็น สุนัข อารมณ์ศิลปินซะด้วย หลายครั้งที่พบว่า ชิสุ จะไม่เชื่อฟังเราถ้ามันไม่อยากทำซะอย่าง อย่างไรก็ตาม ชิสุ ก็ชอบวิ่งและรักความสนุกซึ่งเจ้าของจำเป็นจะต้องพามันออก ไปวิ่งออกกำลังกายบ้าง

           นอกจากนี้ ขนเป็นส่วนประกอบสำคัญที่เป็นตัวชี้วัดความสวยงามของ ชิสุ โดยเฉพาะ ชิสุห์ เป็น สุนัข ขนยาว ที่จะต้องดูแลมากเป็นพิเศษ เนื่องจากมีขนเส้นเล็กและพันกันได้ง่าย หากไม่รู้จักวิธีการรักษาขนให้ดี ขนของ ชิสุ จะพันกันและมีโอกาสเป็นโรคผิวหนังได้ง่ายๆ 
           ทั้งนี้ การแปรงขนอย่างสม่ำเสมอทุกวันจะช่วยให้ผิวหนังและขนสะอาดของ ชิสุ เป็นเงางาม เพราะมีการนวดให้ต่อมน้ำมันที่โคนขนขับน้ำมันออกมาเคลือบเส้นผมได้มากขึ้น ทำให้ผิวหนังมีสุขภาพสมบูรณ์ และยังเป็นการช่วยขจัดรังแคและสิ่งสกปรกอื่นออกจากผิวหนังของ ชิสุ ด้วย

           อาหารที่เหมาะกับเจ้า ชิสุ สุดสวย ควรเป็นอาหารเม็ดมากกว่าอาหารกระป๋อง เพราะ สุนัข มีขนยาว หากให้กินอาหารกระป๋องจะทำให้เลอะหนวดเครา เหม็นคาว ทำให้ต้องทำความสะอาดกันทุกครั้งไป และหากล้างออกไม่หมดก็จะกลายเป็นที่สะสมของเชื้อโรค อีกทั้งถ้าให้อาหารกระป๋องต้องใช้ให้หมดในคราวเดียว ไม่เช่นนั้นจะเสี่ยงต่อสุขภาพของ  ชิสุ ของคุณได้
           ดังนั้น ทางเลือกที่เหมาะที่สุดเห็นจะเป็นอาหารเม็ด ทั้งนี้ การเลือกซื้อควรเลือกประเภทสำหรับ สุนัข พันธุ์เล็ก  โดยเลือกดูให้เหมาะกับช่วงวัยของ ชิสุ ด้วย เช่น ถ้าเป็นอาหารลูก สุนัข ข้างถุงจะพิมพ์ไว้ว่า Puppy มีโปรตีนมากกว่า เม็ดจะเล็กกว่า และจะแพงกว่าอาหาร สุนัข โตนิดหน่อย

           อย่างไรก็ตาม อาหารปรุงเองก็สามารถให้ ชิสุ ได้ แต่ควรดูความเหมาะสมของสารอาหารที่ให้ และการสร้างอุปนิสัยที่ดี  เพราะหากให้กินพร่ำเพรื่อ สุดท้ายเจ้า ชิสุ ตัวโปรดของคุณก็จะติดนิสัยขออาหารที่ครั้งที่เห็นคนกิน ดังนั้นต้องใจแข็งไว้นะคะ ควรให้อาหารเป็นเวลาจะดีกว่า แล้ว ชิสุห์ ของคุณไม่มีปัญาหาสุขภาพตามมาด้วย

โรคและวิธีการป้องกัน

            โรคตาแห้ง เป็นโรคที่มักเกิดกับ สุนัข ชิสุห์ เพราะมีดวงตากลมโต ลูกตาเปิดกว้าง ทำให้เกิดการระคายเคืองได้ง่าย อีกทั้งยังมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุกับดวงตาด้วย ทั้งนี้ อาการของโรคตาแห้ง คือน้ำตาน้อย ก็ต้องรักษาด้วยการหยอดตาต่อเนื่อง อาจจะนานๆ ครั้ง หรือไม่ก็ตลอดชีวิต สำหรับการดูแลรักษา อย่างแรกเลยผู้เลี้ยง ควรเจ้าของควรหมั่นทำความสะอาดตาอย่างสม่ำเสมอด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดโดยเฉพาะ และเมื่อเห็นความผิดปกติของลูกตาให้รีบพาไปพบสัตวแพทย์ทันที เพราะ ถ้าทิ้งไว้นาน อาจทำให้ติดเชื้อ แก้วตาละลาย ถึงขั้นตาบอดได้ อีกอย่างถ้าพามาตั้งแต่แรกเริ่มก็จะมีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่ไม่สูงมากนัก

           โรคหูน้ำหนวก หูอักเสบ ส่วนใหญ่เป็นการอักเสบของช่องหูภายนอกที่เรียกว่า "otitis externa" เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งอาการของ สุนัข ชิสุ ที่ป่วยหูอักเสบ ได้แก่ มีกลิ่นเหม็น ชอบเกาหู หรือเอาหู (หัว) ไปถูกับวัตถุ ช่องหู หรือใบหูมีสีแดง หรือบวม ในบางตัวอาจมีสิ่งคัดหลั่งออกมาจากช่องหู ฯลฯ

           สำหรับวิธีการป้องการที่ดีที่สุด คือการรักษาความสะอาด ควรตรวจสอบช่องหูของ สุนัข ชิสุห์ ทุกสัปดาห์ สุนัข บางตัวมีขี้หูน้อย บางตัวก็มีมาก แตกต่างกันไป ควรใช้สำลีหรือผ้านิ่มๆ เช็ดบริเวณรูหูส่วนนอก และใบหูเป็นประจำ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ถ้าพบว่า สุนัข ของคุณสะบัดหู หรือเกาหูบ่อย ก็ให้นำไปพบสัตวแพทย์ เพราะอาจมีแมลงเข้าหูหรืออาจเกิดโรคหูอักเสบขึ้น

           นอกจากนี้ ชิสุห์ ยังมีโรคอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น โรคนิ่ว โรคไต โรคผิวหนัง และไส้เลื่อน ทางที่ดีผู้เลี้ยงควรฉีดวัคซีนให้ สุนัข ตามกำหนดให้ครบ และใส่ใจเรื่องอาหาร และการออกกำลังกาย และหากผิดความผิดปกติใดๆ ก็ตามควรรีบพา สุนัข แสนรักไปพบแพทย์เพื่อได้รรับการวินัจฉัยและการรักษาที่ตรงจุดต่อไป

.......................................................................................................................

ปอมเมอเรเนียน

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          หากพูดถึง สุนัข ตัวเล็กๆ ขนฟูๆ หางเป็นพวง จมูกแหลมๆ ตาแป๋วเป็นประกาย แน่นอนว่าสุนัขที่ว่านี้คือพันธุ์ ปอมเมอเรเนียน  ที่ไม่ว่าใครเห็นเป็นต้องขอจับ ขอสัมผัส ความน่ารักกันใกล้ๆ แต่ที่เห็นน่ารัก ดูบอบบางเหมือนคุณหนูแบบนี้ แท้จริงแล้ว ปอมเมอเรเนียน มีต้นตระกูลมาจาก สุนัข ลากเลื่อนของประเทศไอซ์แลนด์และเลปแลนด์ บริเวณตอนเหนือของทวีปยุโรปโน่นแน่ะ
          ปอมเมอเรเนียน เป็น สุนัข ที่ชอบเอาใจใส่กับสิ่งภายนอก เฉลียวฉลาด เหมาะสำหรับเลี้ยงเป็นเพื่อนพอๆ กับเลี้ยงเพื่อการแข่งขัน ชื่อของ ปอมเมอเรเนียน มาจาก Pomeranian ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศโปแลนด์และประเทศเยอรมันตะวันออก เหนือแถบทะเลบอลติก โดยแต่เดิมนั้น ปอมเมอเรเนียน เป็น สุนัข พันธุ์ใหญ่ที่ใช้ลากเลื่อนและเฝ้าฝูงแกะ มีรายงานว่า ปอมเมอเรเนียน ที่ถูกนำเข้ามาในอังกฤษตัวแรกมีน้ำหนักถึง 30 ปอนด์ แต่ต่อมาได้มีผู้ผสมพันธุ์ ปอมเมอเรเนียน ให้มีขนาดเล็กลงเพื่อเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนคู่ใจแทนการใช้งาน

          ทั้งนี้ ปอมเมอเรเนียน เริ่มเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เมื่อสมเด็จพระราชินี วิคเตอเรีย แห่งอังกฤษ ทรงไปพบ สุนัข พันธุ์นี้และนำกลับมาเลี้ยงในพระราชวังด้วย ซึ่งมีเรื่องเล่ากันว่าควีนวิคตอเรียทรงโปรด สุนัข ปอมเมอเรเนียน มาก แม้กระทั่งวันที่สิ้นพระชนม์ยังทรงให้เอาเจ้า Turi สุนัข ปอมเมอเรเนียน ตัวโปรดมาไว้ข้างพระแท่นบรรทม และเจ้า Turi นี้ก็ได้นอนเฝ้าอยู่จนควีนสิ้นพระชนม์ จึงทำให้พระองค์ได้รับการยกย่องว่าทรงเป็นผู้ที่ทำให้สาธารณชนรู้จักและนิยมเลี้ยง ปอมเมอเรเนียน ตัวเล็ก

          อย่างไรก็ตาม ปอมเมอเรเนียน ที่ถูกพัฒนาจนเล็กลงอย่างที่นิยมเลี้ยงกันอยู่ในปัจจุบัน เป็นผลงานการพัฒนาของนักผสมพันธุ์ สุนัข ชาวอเมริกา จึงไม่น่าแปลกใจที่ ปอมเมอเรเนียน สายพันธุ์จากอเมริกาได้รับการยอมรับให้เป็นสายพันธุ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด

ลักษณะสายพันธุ์ สุนัข ปอมเมอเรเนียน

          ปอมเมอเรเนียน เป็น สุนัข ที่มีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 4-6 ปอนด์ หรือราว 1.7-2.5 กิโลกรัม ถ้านำหนักน้อยหรือมากกว่านี้ จะถือว่าไม่ได้มาตรฐานสายพันธุ์  เป็น สุนัข ที่ว่องไวปราดเปรียว มีขนชั้นในที่แน่นและนุ่ม และมีขนชั้นนอกที่หยาบกว่าชั้นใน หางสวยงามเป็นพวงขน และตั้งอยู่ในตำแหน่งที่สูง หางจะขนานไปกับหลัง โดยลักษณะนิสัยพื้นฐานของ ปอมเมอเรเนียน นี้ คือ จะตื่นตัวเสมอ เห่าเก่ง  มีนิสัยอยากรู้อยากเห็น อวดดี สง่างาม และขณะก้าวย่างแสดงถึงความมีชีวิตชีวา เป็นพันธุ์สมบูรณ์ทั้งรูปร่างและการเคลื่อนไหว

         
อาหารและการเลี้ยงดู ปอมเมอเรเนียน

          การดูแลขนของ ปอมเมอเรเนียน ต้องได้รับการแปรงขนทุกวันหรืออาทิตย์ละสองครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อที่จะให้ขนที่หนาและสวยไม่พันกัน ขนของ ปอมเมอเรเนียน ต้องการการเล็มบ้างแค่ครั้งคราว ส่วนการดูแลหูและเล็บเป็นประจำเป็นสิ่งที่แนะนำรวมกับการอาบน้ำ อย่างไรก็ตาม ไม่ควรอาบน้ำให้ ปอมเมอเรเนียน บ่อยมากจนเกินไป เพราะการอาบน้ำบ่อยจะทำให้หนังและขนเแห้งจนเกินไป เนื่องจากน้ำมันที่จำเป็นถูกล้างออกไปหมด

          นอกจากการดูแลขนแล้ว สิ่งที่สำคัญที่มากที่สุดสำหรับ สุนัข ปอมเมอเรเนียน คือการได้รับการดูแลสุขภาพปากและฟันเป็นอย่างดี เนื่องจาก ปอมเมอเรเนียน ง่ายต่อการสูญเสียฟันอันเนื่องมาจากปัญหาฟันผุ หรือสุขภาพเหงือกไม่ดี จึงต้องมั่นทำความสะอาดฟันให้เป็นประจำ และควรให้อาหารชนิดแห้งเพื่อลดปัญหาสุขภาพปากและฟัน


โรคและวิธีป้องกัน

          สุนัข แต่ละพันธุ์มีโรคประจำที่แตกต่างกันออกไป เช่น สุนัข พันธุ์โกลเด้น ก็มีปัญหาโรคข้อสะโพกเสื่อม สุนัข พันธุ์คอกเกอร์ สเปเนียล ก็พบปัญหาเรื่องโรคหูอักเสบ สุนัข พันธุ์พุดเดิ้ลก็มีปัญหาโรคหัวใจโต สุนัข พันธุ์ดัลเมเชี่ยนก็เจอโรคหูหนวก สุนัข พันธุ์ดัชชุน ก็มีปัญหาโรคหมอนรองกระดูก ฯลฯ ปอมเมอเรเนียน ก็มีปัญหาเหมือนกัน โดยมี 4 โรคที่ ปอมเมอเรเนียน พึงสังวรไว้ คือ

          1. โรคลูกสะบ้าเคลื่อน โรคนี้พบได้บ่อยสุด คือ มีอาการเจ็บเข่าจนต้องยกขาไม่ลง ถ้าไม่เป็นมาก ก็รักษาด้วยการกินยา แต่ถ้าเป็นมากต้องพึ่งหมอผ่าตัด  อย่างไรก็ดี โรคนี้ป้องกันได้โดยอย่าปล่อยให้ ปอมเมอเรเนียน ของเราอ้วนเกินไป และคอยดูแลไม่ให้เขาหล่นหรือโดดลงจากที่สูง ส่วนสถานที่ที่เลี้ยงนั้นไม่ควรเป็นพื้นลื่นจำพวกกระเบื้อง พื้นหินขัด,หินอ่อน หรือแกรนิต ที่สำคัญไม่ควรปล่อยให้ ปอมเมอเรเนียน ที่มีปัญหาลูกสะบ้าขยายพันธุ์

          2. โรคหลอดลมตับ เป็นอีกโรคมักพบบ่อยๆ ใน ปอมเมอเรเนียน อาการที่พบ คือ ไอแห้งๆ เสียงดังมาก ซึ่งพบบ่อยเวลาที่ตื่นเต้นหรืออากาศเย็น ดังนั้น จึงอย่าปล่อยให้มันอ้วนเกินไป และพยายามอย่าให้เขาอยู่ในที่ที่อากาศร้อนและชื้นเกินไป และที่สำคัญเวลาจูงเดินเล่นควรใช้สายจูงชนิดสายรัดอก แทนสายจูงกับปลอกคอหรือโซ่คอ

          3. ขนร่วง ปัญหาโรคขนร่วงที่พยบ่อยใน ปอมเมอเรเนียน ก็คือโรค Black Skin หรือ BSD ซึ่งทำให้ผิวหนังไม่มีขนและมีจี้ดำ เกิดจากหลายสาเหตุรวมกัน เช่น โรคไทรอยด์ต่ำ,ZEMA,ไรขี้เรื้อนและเชื้อรา ซึ่งวิธีแก้ไข คือ ควรรีบพา สุนัข ที่มีปัญหาโรคผิวแห้งไปพบสัตว์แพทย์โดยเร็ว

          4. โรคหนังตาม้วนเข้า โรคนี้สามารถพบใน สุนัข ปอมเมอเรเนียน แต่ไม่พบบ่อยเหมือน สุนัข พันธุ์เชาว์-เชาว์ หรือชาร์ไป ซึ่งวิธีแก้ไขคือต้องทำการผ่าตัดโดยสัตวแพทย์

..............................................................................................................

โกลเด้น รีทรีฟเวอร์

โกลเด้น รีทรีฟเวอร์


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ (Golden Retriever) สุนัข พันธุ์นี้เป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลก เรามักจะได้เห็น สุนัขพันธุ์โกลเด้น จากโฆษณาหรือภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง ที่มีรูปร่างท่วงท่าสวยงาม หน้าตาน่ารัก ใจดี ขี้เล่น ขนยาวสีเหลืองทอง แถมยังเป็น สุนัข ฉลาด พูดรู้เรื่อง เชื่อฟังคำสั่ง จึงทำให้หลายคนเกิดติดใจอยากหา โกลเด้น มาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนคู่ใจสักตัว ขณะที่หลายคนก็อาจตกหลุมรัก สุนัข พันธุ์นี้ จนมีไว้ในครอบครองหลายตัวแล้วก็ได้
           โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ มีถิ่นกำเนิดในประเทศอังกฤษและสก๊อตแลนด์ โดยมีการบันทึกไว้ในช่วงทศวรรษที่  1860   ซึ่งบันทึกไว้ว่าได้มีคณะละครสัตว์ของรัฐเซีย   ได้นำฝูง สุนัข มาแสดง จนทำให้ท่านลอร์ด  ทวีดมัธ  ( Lord  Tweedmouth ) รู้สึกประทับใจ จึงได้ทำการขอซื้อไว้แล้วนำมาผสมพันธุ์หลายชั่วอายุ  จึงได้สายพันธุ์ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ในที่สุด แต่การนำมาผสมกับสายพันธุ์ไหนนั้นยังไม่มีหลักฐานสรุปที่แน่นอน  แต่มีการสันนิษฐานว่า โกลเด้น มีสายเลือดผสมระหว่างสุนัขพันธุ์ Yellow Flat-Coated Retriever และ Light-Coated Tweed Water Spaniels และอาจจะมีสายพันธุ์ของ Newfoundland หรือ Bloodhound ผสมอยู่ด้วย         

           ทั้งนี้ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ เป็น สุนัข ที่มีความเชี่ยวชาญทางน้ำ โดยแต่เดิมเป็น สุนัข ที่ใช้ในกีฬาล่าสัตว์ นายพรานจะใช้ โกลเด้น ไปเก็บเป็ดน้ำที่ยิงได้กลับมา เนื่องจากมีประสาทสัมผัสดีเลิศทั้งในด้านของการฟังเสียง การดมกลิ่นสะกดรอย นอกจากนี้ โกลเด้น ยังมีสายตาอันเฉียบคมและแม่นยำ ด้วยเหตุนี้วงการทหารและตำรวจในหลายๆ ประเทศจึงได้นำ สุนัขพันธุ์โกลเด้น นี้มาฝึกเพื่อไว้ช่วยงานราชการ อาทิเช่น ตรวจค้นยาเสพติด, ดมกลิ่นสะกดรอยคนร้าย, ยามรักษาความปลอดภัย แต่ที่ดูเหมือนจะได้รับความนิยมสูงสุด ก็เห็นจะได้แก่ฝึกให้เป็น สุนัข นำทางคนตาบอด ทั้งนี้เพราะ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ เป็นสุนัขฉลาด และสุภาพ
           โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ หรือที่บางคนเรียก เยลโล่ รีทรีฟเวอร์ ( YELLOW RETRIEVER ) เป็นที่รู้จักและนิยมเลี้ยงกันแพร่หลายในประเทศอังกฤษ จนในปี ค.ศ. 1930 โกลเด้น ก็เริ่มเป็นที่นิยมในสหรัฐอเมริกา โดยยุคนั้นชาวอเมริกันส่วนใหญ่จะเลี้ยง โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ไว้เพื่อเป็นนักล่า

           ต่อมาในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1977 ได้จัดให้มีการประกวดความสามารถและความฉลาดแสนรู้ของ สุนัข ซึ่งผลปรากฏว่า สุนัข ที่ได้รางวัลที่ 1-3 ล้วนเป็น สุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ทั้งสิ้น จากผลการประกวดในครั้งนั้นทำให้ชาวอเมริกันเริ่มเกิดความตื่นตัว และหันมาให้ความสนใจเลี้ยง สุนัขพันธุ์โกลเด้น เป็น สัตว์เลี้ยง กันมากขึ้น

 ลักษณะทั่วไปของ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์

           โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ เป็น สุนัข ในกลุ่มกีฬา (Sporting Group) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใช้งานในกีฬาล่าสัตว์ เป็น สุนัข ขนาดกลาง มีอายุเฉลี่ย 12 – 14 ปี ตัวผู้สูงราว 23-24 นิ้ว หนักประมาณ 64-70 ปอนด์ ตัวเมีย สูง 21-23 นิ้ว น้ำหนัก 60-70 ปอนด์ มีสีหลายระดับสี มักจะเป็นสีออกครีมถึงสีเหลืองทอง จนถึงกึ่งเข้มแดงมะฮอกกานี เป็น สุนัข ที่มีลักษณะหัวกว้าง และมีช่วงปากที่แข็งแรง ตาสีน้ำตาล หูค่อนข้างใหญ่เป็นรูปสามเหลี่ยม ปรกลงมาด้านข้าง มีขน 2 แบบ คือเรียบกับเป็นลอน ขนชั้นนอกแน่น เงา หยิกเป็นลอนเล็กน้อย และราบเรียบไปตามลำตัว กันน้ำได้ดี ขนชั้นในแน่น และกันน้ำได้ดีเช่นเดียวกัน มีขนปุกปุยหนาแน่นบริเวณคอ ขาหน้าตรงแข็งแรง เท้ากลมคล้ายเท้าแมว

           โครงสร้างลำตัวของ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ จะสั้นกระชับได้สัดส่วน อกลึกและกว้าง ความลึกของอกลึกเสมอข้อศอกขาหน้า ลำตัวเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ช่วงรอยต่อระหว่างจมูก ปาก และหน้าผาก มีความลาดเล็กน้อยไม่ถึงกับหัก สันจมูกเป็นเส้นตรง หนังย่นบริเวณหน้าผากอนุโลมให้มีได้ หนังบริเวณใบหน้าเรียบตึง ฟันมีลักษณะขบกันได้สนิท โดยฟันหน้าบนขบเกยอยู่ด้านนอก ส่วนจมูกมีสีดำหรือน้ำตาลดำ ลักษณะของหูสั้นพอประมาณ ใบหูห้อยปรกลงแนบกับส่วนแก้ม และหางอยู่ในตำแหน่งสูงสุดต่อจากเส้นหลังและหางมีขนาดใหญ่โดยเฉพาะที่บริเวณโคนหาง


โกลเด้น รีทรีฟเวอร์


 อุปนิสัยของ สุนัข โกลเด้น รีทรีฟเวอร์

          เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่ามี สุนัข น้อยพันธุ์นักที่จะมีนิสัยสุภาพ น่ารัก มีเสน่ห์ ขี้เล่น ช่างประจบเอาใจ และเสียสละรักเจ้าของได้เท่ากับ สุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ นี้ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ เป็น สุนัข ที่ใจดี ชอบอยู่กับคนและสัตว์อื่น มีมนุษย์สัมพันธ์ดี สามารถปล่อยให้เป็นเพื่อนเล่นกับเด็กๆ หรือลูกหลานได้อย่างสบายใจ ค่อนข้างติดคนหรืออยากให้เจ้าของสนใจเสียจนบางครั้งอาจรู้สึกว่าน่ารำคาญ 
          นอกจากนี้ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ยังเป็น สุนัข ที่ฝึกง่าย แต่ควรเริ่มฝึก โกลเด้น เสียแต่เนิ่นๆ แต่ก็มีบางตัวที่ขี้ตกใจ เป็นกระต่ายตื่นตูม ดังนั้น การฝึกที่นุ่มนวลและมีแรงจูงใจที่ดีจะช่วยลดปัญหาเหล่านี้ได้ โกลเด้น ชอบเห่าเมื่อมีคนอยู่หน้าประตูบ้าน แต่มีบ่อยครั้งที่การเห่านั้นเป็นการแสดงการทักทาย มิใช่การขู่ เจ้าของควรทำรั้วล้อมรอบบริเวณบ้านให้ดี เพราะถ้าขืนปล่อย สุนัข พันธุ์นี้ให้เป็นอิสระมากไป มันจะหนีออกไปข้างนอกบ้านและคุณคงต้องตามหามันจนเหนื่อย เนื่องจาก โกลเด้น มีนิสัยชอบเที่ยว ชอบผจญภัยเอามากๆ

 อาหารและการเลี้ยงดู สุนัข โกลเด้น รีทรีฟเวอร์

           โกลเด้น เป็น สุนัข ที่มีขนร่วงมาก จำเป็นจะต้องแปรงและหวีขนให้มันสัปดาห์ละหลายๆ ครั้ง โกลเด้น จะมีความสุขมากๆ หากเจ้าของพามันไปเดินเล่นไกลๆ ทุกวันหรือหาสนามโล่งๆ ให้ได้วิ่งเล่นแบบสบายๆ ไร้กังวล ได้เล่นกับ สุนัข ตัวอื่น วิ่งเก็บลูกบอล หรือว่ายน้ำ

           และด้วยความที่ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ มีต้นกำเนิดมาเพื่อล่าสัตว์ที่อยู่ริมน้ำ ดังนั้น บุคลิกที่โดดเด่นอีกอย่างหนึ่งของ สุนัข พันธุ์นี้คือ ชอบลงไปในบริเวณที่มีน้ำขังอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำ กระถางบัว บ่อปลา หรือแม้แต่ชามใส่น้ำของตัวมันเอง จึงขอแนะนำให้หาอ่างน้ำ หรือภาชนะใดๆ ใส่น้ำไว้สำหรับให้เขาเล่นโดยเฉพาะ
           ส่วนอาหารที่ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ขนาดโตเต็มวัยต้องการควรเป็นอาหารชั้นดี โดยให้เพียงวันละ 1 ครั้งในปริมาณที่เพียงพอ และในระหว่างวันอาจให้บิสกิตเสริมได้วันละ 2 ครั้ง

           บริเวณสำหรับนอนเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ โกลเด้น ต้องการผ้าปูรองนอนนุ่มๆ หาของเล่นส่วนตัวสักชิ้นสองชิ้นที่มันสามารถกัดแทะได้ เช่น กระดูกเทียม หรือลูกบอลยางวางไว้รอบตัวให้มันด้วย จะช่วยให้ โกลเด้น มีที่สงบและปลอดภัย สำหรับช่วงเวลาที่พวกมันต้องการความเป็นส่วนตัวและต้องการพักผ่อน นอกจากนี้ ผู้เลี้ยงยังต้องดูแลเรื่องความสะอาดภายในใบหู ดูแลเรื่องเห็บและหมัด รวมทั้งตัดเล็บให้มันอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้วิ่งและกระโดดง่ายขึ้น


 โรคและวิธีการป้องกัน

           โรคประจำสายพันธุ์ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ที่พบบ่อยๆ คือ โรคข้อสะโพก โรคต้อกระจก โรคขาดฮอร์โมนไทรอยด์ โรคเนื้องอกในต่อมน้ำเหลือง
            โรคข้อสะโพกเสื่อม (Hip Dysplasia ) เป็นโรคกระดูกที่พบได้มากในสุนัขพันธุ์ใหญ่ ( Giant and large breed ) โดยพบมากถึง 1 ใน 3 ของโรคกระดูกทั้งหมดใน สุนัข โดยโรคนี้จะมีพัฒนาการในช่วงที่มีการเจริญเติบโต ของกระดูกจึงอาจพบได้ตั้งแต่ 4-12 เดือน

           โรคขาดฮอร์โมนไทรอยด์ กล่าวคือ ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนน้อยกว่าปกติ และก่อให้เกิดความผิดปกติต่างๆ ของร่างกายโดยแสดงออกทางผิวหนัง อาการที่พบคือ สุนัข จะมีอาการขนร่วง เช่น  ข้างลำตัว  รอบก้นและหาง  หน้าอก  ใน สุนัข อายุมากมักพบรังแคกระจายทั่วร่างกาย  อาจพบผิวหนังมีเม็ดสีสะสม  มักพบเป็นสีดำ อาจมีน้ำหนักตัวมากกว่าปกติ อ่อนเพลีย  ซึ่งโรคนี้มักพบใน สุนัข อายุ  6-10  ปี แต่ถ้าเป็น สุนัข พันธุ์ใหญ่สามารถพบในอายุน้อยกว่า  6  ปีได้ ดังนั้น หาก สุนัข ของคุณมีอาการดังนี้  แนะนำให้พา สุนัข มาตรวจกับสัตวแพทย์เพื่อรับการรักษาจะดีที่สุด

           โรคเนื้องอกในต่อมน้ำเหลือง พบได้ทั้งชนิดที่ไม่รุนแรงและชนิดที่เป็นมะเร็ง ลักษณะที่พบคือ เป็นเนื้องอกขอบไม่เรียบและมีสีต่างๆ สามารถพบเนื้องอกที่บริเวณผิวหนังของศีรษะ ปลายเท้า หลัง และภายในช่องปาก ซึ่งโดยมากแล้วมักพบในช่องปากของสุนัข โดย สุนัข จะมีน้ำลายไหลมากผิดปกติ มีกลิ่นปาก น้ำหนักลด มีเลือดออก ฟันหลุด และไม่สามารถกินอาหารได้ ซึ่งหากผู้เลี้ยงพบอาการดังกล่าวมานี้ ควรรีบพา สุนัข ไปรักษาโดยเร็ว เพราะหากเป็นเนื้องอกชนิดที่มีเชื้อมะเร็ง จะมีอัตราการเสียชีวิตสูง การรักษาทำได้โดยการผ่าตัดกรณีเชื้อยังไม่แพร่กระจาย แต่หากเชื้อแพร่กระจายแล้วจะใช้วิธีเคมีบำบัด

           โรคต้อกระจก มักเกิดกับ สุนัข ที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป โดยจะมองเห็นแก้วตามีลักษณะขุ่นขาว ซึ่ง สุนัข ยังพอมองเห็นได้ แต่ถ้าแก้วตาขุ่นเพิ่มมากขึ้นก็จะทำให้มองไม่เห็น เนื่องจากแสงไม่สามารถผ่านเข้าไปยังจอรับภาพได้ ทั้งนี้สาเหตุเป็นเพราะโรคเบาหวาน หรือได้รับบาดเจ็บ มีแผลที่ตา อย่างไรก็ตาม โรคต้อกระจกอาจจะพบได้ใน สุนัข อายุน้อยตั้งแต่เกิดจนถึง 3 ปี เนื่องจากเป็นมาตั้งแต่เกิด สำหรับการรักษา ควรรีบพา สุนัข ของคุณไปพบสัตวแพทย์ เพื่อรับการตรวจและรักษาทันที หากปล่อยทิ้งไว้นาน จะทำให้การรักษายากขึ้น และอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ตาบอดได้

......................................................................................................

หนูแกสบี้ cavy
หนูแกสบี้

หนูแกสบี้ cavy
หนูแกสบี้


มาทำความรู้จักกัน กับหนูแกสบี้ (thaihamsteronline)

           หนูแกสบี้เป็นสัตว์ที่สวยงาม และก็ยังเป็นสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมอีกด้วย อาจเป็นเพราะว่า สีต่างๆ และสายพันธุ์ต่างๆ มีความสวยงามเป็นลักษณะเฉพาะ ซึ่งหนูแกสบี้นั้นมีสีหลากหลายสี และ สายพันธุ์ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ขนสั้น ขนยาว หรือ แม้กระทั่งขนหยิก

           ทั้งนี้ หนูแกสบี้ในแต่ละสายพันธุ์นั้นก็อาจจะมีวิธีการเลี้ยงบางอย่างที่แตกต่างกันออกไป บางตำราบอกว่าหนูแกสบี้ นี้ที่จริงเขาไม่ได้เรียกกันว่า แกสบี้ แต่เรียกกันว่า "หนูเควี่(cavy)" หรือว่าหนูกินนี่พิก ส่วนชื่อแกสบี้เป็นชื่อที่คนไทยนั้นตั้งเอง ซึ่งหนูแกสบี้มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cavia porcellus

           สำหรับนิสัยของหนูแกสบี้เป็นสัตว์ที่เชื่อง จะมีหนูแกสบี้ส่วนน้อยเท่านั้นที่มีนิสัยก้าวร้าว แต่นั้นก็ไม่ใช่ปัญหาเท่าไหร่ เพราะสิ่งต่างๆ นั้นสามารถฝึกฝนกันได้ หนูแกสบี้เป็นสัตว์ที่สามารถฝึกได้ ไม่ว่าจะเป็นการเรียกชื่อแล้วเดินมาหา หรือ การฝึกให้มีการอึหรือถ่าย ในสถานที่ๆ เราจัดเตรียมไว้ได้

           นอกจากนี้ หนูแกสบี้ยังเป็นสัตว์ที่มีอายุขัยได้ยาวนาน 5 - 7 ปีทีเดียว แต่ทั้งนี่ก็ต้องขึ้นอยูที่ผู้เลี้ยงด้วยว่าได้เอาใจใส่ และดูแลทำความสะอาดเขาได้ดีเพียงใด โดยหนูแกสบี้ที่มีอายุมาก มักจะไม่ค่อยวิ่งเล่นเท่าใหร่ ซึ่งพฤติกรรมต่างๆ ของหนูแกสบี้ ที่แสดงออกมาบ่งบอกถึงสภาวะอารมณ์ของเขาว่าเขารู้สึกอย่างไรไม่ว่าจะเป็นเสียงร้อง ลักษณะท่าทางต่างๆ ที่แสดงออกมา ซึ่งถ้าเพื่อนๆ เลี้ยงและเอาใจใส่เขาก็จะรู้ได้เลยว่าเขาต้องการอะไรและเขารู้สึกอย่างไร

สายพันธุ์ของแก๊สบี้

           แก๊สบี้ มีลักษณะเด่นในแต่ละสายพันธุ์ตามมาตรฐาน ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีแก๊สบี้เป็นสัตว์เลี้ยงแล้ว หรืออาจเป็นอีกคนหนึ่งที่กำลังมองหา คุณควรที่จะรู้ว่า แก๊สบี้ ที่เลี้ยงอยู่หรือกำลังมองอยู่เป็นพันธุ์แท้หรือไม่ ซึ่งสามารถเทียบลักษณะของแต่ละพันธุ์ได้ ดังนี้

           1. พันธุ์ ENGLISH SHORT HAIR ลักษณะโดยทั่วไปจะมีขนสั้น ทิศทางของขนจะเรียบจากบริเวณศีรษะไปจนถึงท้ายลำตัว มีสีเดียวกันทั้งตัว

           2. พันธุ์ ENGLISH CREATED มีลักษณะคล้ายพันธุ์ ENGLISH SHORT HAIR จะแตกต่างกันตรงที่มีขวัญบริเวณหน้าผาก

           3. พันธุ์ AMERICAN CREATED มีลักษณะคล้ายพันธุ์ ENGLISH CREATED แต่จะมีข้อแตกต่าง คือ ขวัญบริเวณหน้าผากจะมีสีขาว

           4. พันธุ์ ABYSINION (อาบิซิเนียน) ขนจะยาวปานกลาง มีขวัญกระจายไปทั่วลำตัว ไม่ค่อยนิยมในเมืองไทย เพราะมีลักษณะคล้ายแก๊สบี้ผสมหนูตะเภา

           5. พันธุ์ PERUVIAN (เพอรูเวียน) ขนจะยาวและเหยียดตรง ทิศทางของขนจะย้อนจากท้ายลำตัวไปยังส่วนหัว มีขวัญบริเวณท้ายของลำตัว พันธุ์นี้จัดเป็นพันธุ์ยอดนิยมและเลี้ยงกันมากที่สุด

           6. พันธุ์ SILKY (ซิลกี้) ลักษณะของขนจะยาวและเหยียดตรง ทิศทางของขนจะปกติ ซึ่งตรงข้ามกับพันธุ์ PERUVIAN ตรงที่ลำตัวหนากว่า

           7. พันธุ์ CORONET (โคโรเน็ต) ลักษณะของขนจะยาว คล้ายพันธุ์ SILKY และมีขวัญบริเวณหน้าผาก จัดเป็นลักษณะพิเศษและน่าเลี้ยง เนื่องจากพันธุ์นี้ค่อนข้างหายาก

           8. พันธุ์ TEXEL (เทคเซล) ลักษณะของขนจะยาวหยิก ทิศทางของขนเหมือน SILKY บางครั้งพันธุ์นี้จะมีชื่อว่า "พูเดิ้ล"

           9. พันธุ์ MARINO (มาริโน) ลักษณะทั่วไปเหมือน TEXEL แต่จะมีขวัญบริเวณกลางหน้าผาก

           10. พันธุ์ ALPACA (อัลปาคา) ลักษณะของขนยาวหยิก แต่ขนจะย้อนจากท้ายไปยังศีรษะ

           11. พันธุ์ TEDDY BEAR (เท็ดดี้ แบร์) ลักษณะของขนจะสั้นและหยิกตามแบบของอเมริกา

           12. พันธุ์ REX (เร็กซ์) ลักษณะของขนจะสั้นและหยิกตามแบบของอังกฤษ


หนูแกสบี้ cavy
หนูแกสบี้

อาหารหนูแกสบี้

           อาหารที่ดีจะสามารถช่วยให้หนูแกสบี้ มีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ ซึ่งอาหารของหนูแกสบี้มีทั้งแบบสำเร็จรูปโดยส่วนมากจะอยู่ในรูปของอาารเม็ด อาหารเหล่านี้มีขายอยู่หลายยี่ห้อทั้งของไทย - ของนอก ซึ่งเราควรเลือกซื้ออาหารที่ดีมีคุณภาพ สะอาด และต้องจำไว้ว่าอาหารสำเร็จรูปนั้นไม่ใช่อาหารที่ได้รับการเก็บไว้นาน ควรตรวจดูอาหารว่า มีเชื้อราหรือไม่ เพราะว่าอาหารจำพวกนี้ถ้าได้รับการเก็บรักษาไม่ดีแล้ว ความชื้น อาจจะทำให้อาหารนั้นเป็นเชื้อรา

          ดังนั้น อาหารสำเร็จรูปที่ซื้อมาให้นั้น เมื่อเปิดถุงแล้ว ควรจะให้แกสบี้รับประทานให้หมด ภายในระยะเวลา 14 เดือน เพราะว่าถ้าเราเก็บไว้นาน สารอาหรก็จะลดน้อยลงไป และอาจจะทำให้อาหารเสื่อมคุณภาพได้อีกด้วย

          ส่วนอาหารจำพวก พืช-ผัก เป็นอาหารที่มีคุณค่าและจำเป็นเป็นอย่างมากสำหรับหนูแกสบี้ ซึ่งโดยธรรมชาติแล้ว
หนูแกสบี้เป็นสัตว์ตระกูลเดียวกับกระต่าย คือ จะหากินหญ้าอ่อนเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้ ผู้เลี้ยงอาจเลือกอาหารจำพวกผัก หญ้า อาจจะเป็นหญ้าแห้ง หรือหญ้าสดก็ได้ เพราะล้วนแต่มีคุณค่า และสารอาหารต่อหนูแกสบี้เหมือนกัน โดยหญ้าสดจะช่วยในการขับถ่าย และการย่อยอาหารได้ ส่วนหญ้าแห้งก็ช่วยให้หนูแกสบี้ไม่กัดกินขนตัวเอง โดยจะแทะ หรือกินหญ้า แทน

          อย่างไรก็ตาม หญ้าสดที่ให้แนะนำเป็นหญ้าขน เพราะสามารถหาได้ง่าย และมีสารอาหารที่พอเหมาะกับเจ้าหนูแกสบี้ เมื่อได้หญ้าสดมาแล้ว ควรแช่น้ำเปล่า หรือน้ำทับทิม ทำความสะอาดและทำให้สะเด็ดน้ำก่อนที่จะให้หนูแกสบี้กิน และควรให้อาหารจำพวกหญ้าสดสลับกับการให้หญ้าแห้งอย่างสม่ำเสมอ แต่อย่าลืมว่าหญ้าสดที่ให้จะต้องสะอาดเท่านั้น ไม่เช่นนั้นล่ะก็อาจจะทำให้ หนูแกสบี้ท้องเสียได้ ดังนั้นการทำความสะอาดหญ้าที่จะนำมาให้หนูแกสบี้ก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างหนึ่ง
................................................................................................



ตุ๊กแกตาหวาน "น็อบ เทล เก๊คโค" สัตว์แปลกแอ๊บแบ๊ว !? (เทคโยโลยีชาวบ้าน)


          หากมองผ่านรูปร่างภายนอกอันน่าขนลุกของสัตว์ที่มีชื่อว่า "ตุ๊กแก" ... แต่หันมามองที่ความสามารถทางธรรมชาติของมันแทน จะพบว่าคุณสมบัติของตุ๊กแกนั้นไม่มีอะไรน่าอัศจรรย์ไปกว่าความสามารถในการเกาะไต่ผนังและเพดานได้อย่างเหนียวแน่น

          มันทำได้อย่างไร?...ความรู้ที่ได้จากคำถามนี้ก็คือ ผลการวิจัยจากนักสัตวศาสตร์พบว่า ทุกพื้นที่บนฝ่าเท้าของตุ๊กแกมีเส้นขนอยู่มากกว่า 1,000 เส้น และบริเวณส่วนปลายของแต่ละเส้น ยังแตกกิ่งก้านสาขาออกไปอีกมากกว่า 1,000 แฉก ซึ่งแต่ละแฉกมีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 200 นาโนเมตร ซึ่งมีลักษณะเป็นปลายแหลมเล็ก มีความยาวเพียง 100 ไมโครเมตร หรือราวความกว้างของเส้นผมพวกเราเท่านั้น

          ขนดังกล่าวเรียกว่า "เซต้า" ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการยึดเกาะ และเป็นตัวการที่ทำให้มนุษย์เข้าใจว่าตีนตุ๊กแกเหนียวหนึบสุดๆ หากมันตกลงมาเกาะแขน เกาะขาเราละก็ต้องรอให้ฟ้าผ่าหรือต้องทำตามความเชื่อของคนโบราณหลากวิธี

          แต่เรื่องของธรรมชาติก็มีความจริงอีกว่า ตุ๊กแก ไม่ใช่สัตว์อัศจรรย์เช่นนั้นเสมอไป เพราะมีตุ๊กแกบางชนิดไม่สามารถหากินบนที่สูงเช่นเดียวกับตุ๊กแกที่คนไทยคุ้น เคย มันไม่สามารถเกาะผนังและเดินไปมาตามเพดาน แต่ทำได้เพียงคืบคลานอยู่ตามพื้นดินหรือพื้นทราย ซึ่งเป็นความต่างตามแหล่งกำเนิด

          และตุ๊กแกบางชนิดก็ไม่ได้มีรูปร่างน่าขนลุกเสมอไป (แล้ว แต่วิจารณญาณส่วนบุคคล) เพราะมีสีสันสวยงาม หางสั้น ตัวเล็ก ตากลมโต จนกลายเป็นเสน่ห์ดึงดูดให้คนรักสัตว์บางกลุ่มคนนิยมนำมาเป็นสัตว์เลี้ยงภาย ในบ้าน

          หนึ่งในชนิดตุ๊กแกดังกล่าว คือ "น็อบ เทล เก๊คโค" (Knob - Tail Gecko) สัตว์เลื้อยคลานตัวน้อย ที่ได้รับความนิยมในประเทศสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น และปัจจุบันกำลังเข้าสู่วงการสัตว์เลี้ยงประเภทสัตว์แปลกเมืองไทยแล้วเช่นกัน โดยมีชื่อเรียกน่ารักๆ ภาษาไทยว่า "ตุ๊กแกตาหวาน"

          คุณธนกมล ขำวัฒนพันธุ์ หรือคุณส้ม คนรุ่นใหม่ที่มีใจรักในสัตว์เลี้ยงพิเศษ ประเภทสัตว์เลื้อยคลาน เปิดเผยว่า เจ้าตุ๊กแกตาหวานชนิดนี้เริ่มเข้ามาซื้อขายในเมืองไทยตั้งแต่ปลายปี 2549 แต่มีราคาจำหน่ายสูงมากถึงคู่ละ 50,000 บาท แต่เมื่อทางสหรัฐอเมริกาและไต้หวันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้มากขึ้น ราคาจึงเริ่มปรับลดลง ส่งผลให้กลายเป็นสัตว์แปลกอีกชนิดที่น่าทำความรู้จัก

          "ตุ๊กแกตาหวาน เป็นสัตว์ต่างถิ่นจากทะเลทรายซาฮาร่า มีที่มาที่เดียวกันกับกิ้งก่าเบี๊ยดดรากอน หรือพวกกิ้งก่าทะเลทราย แต่ น็อบ-เทลฯ พวกนี้เป็นสัตว์ตระกูลตุ๊กแก ซึ่งเฉพาะตุ๊กแกชนิดนี้ก็มีอีกหลายสายพันธุ์หลายแบบมาก ต่อปีจะมีการนำเข้าประมาณ 2 ครั้ง เท่านั้น แล้วก็มีนำเข้าจำนวนน้อยประมาณ 15 ตัว ต่อปี แต่ก็ถือว่าราคาซื้อขายทุกวันนี้ยังสูงอยู่ ตัวละประมาณ 12,000 บาท"

          ด้วยราคาที่ค่อนข้างสูง มากกว่าซื้อสุนัขสักตัว ประกอบกับเป็นสัตว์ต่างถิ่นต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในการดูแล ผู้นิยมเลี้ยงตุ๊กแกตาหวานจึงยังไม่มีการขยายกว้างมากนัก โดยหลักแล้วมีผู้นิยมเพียงกลุ่มเดียว ก็คือ ผู้ที่กระเป๋าหนัก มีรสนิยมชอบสัตว์แปลก และไม่อยากเลี้ยงซ้ำใคร เพราะตุ๊กแกบางชนิดมีราคาอยู่ที่หลักร้อยถึงหลักพัน ต่ำกว่าตุ๊กแกตาหวานชนิดนี้มาก อีกทั้งเป็นตุ๊กแกขนาดเล็ก มีความยาวจากหัวจรดหางเมื่อโตเต็มที่เพียง 4-6 นิ้ว ผู้ซื้อไปเลี้ยงก็ต้องคิดหนัก แต่หากมองเรื่องรูปร่างลักษณะภายนอกแล้วประทับใจ ก็ต้องยอมควัก ยอมศึกษา เพราะเจ้าตาโตตัวนี้นับว่าเป็นตุ๊กแกที่มีเสน่ห์ดึงดูดเฉพาะตัวไม่เบา

          "ลักษณะพิเศษของตุ๊กแกตาหวาน นอกจากไม่ปีนป่ายก็คือ เป็นตุ๊กแกที่มีหางขนาดสั้น เมื่อถึงเวลากิน หางเขาจะส่าย ดิ๊กๆ ๆ ๆ ก่อนกิน เหมือนเวลาล่าเหยื่อ จะส่ายหางไปมา เวลาเล็งก็ส่ายหางไปมา น่ารัก คือบางคนมองว่าเป็นตุ๊กแก ไม่น่ารักเลย โดยนิสัยส่วนตัว ตุ๊กแกชนิดนี้เป็นตุ๊กแกที่ร่าเริง โดยเฉพาะตอนกลางคืน จะตื่นตัวตลอดเวลาตามสัญชาตญาณ แล้วก็เชื่อง ถ้าคุ้นเคยกับคนเลี้ยงแล้วมันก็จะเดินขึ้นมือไต่แขนเลย แต่ถ้าตกจากที่สูงจะเป็นอันตราย เพราะไม่มีลักษณะพิเศษเหมือนจิ้งจกหรือตุ๊กแกชนิดอื่นๆ ผู้เลี้ยงก็ต้องระวัง" คุณส้มบอก

          ดังนั้น การเลี้ยงดูตุ๊กแกตาหวานด้วยการนำมันมาคลอเคลียให้ไต่ไปไต่มาอยู่บนตัว คงจะเป็นเรื่องเสี่ยงสักหน่อย วิธีการเลี้ยงที่เหมาะควรก็คือ ให้ตุ๊กแกอยู่ในตู้เลี้ยงที่จัดเป็นสัดส่วน หากเลี้ยงภายในบ้านและไม่มีสัตว์ชนิดอื่นๆ ที่หมายจะทำร้ายตุ๊กแก เช่น แมว สุนัข งู นก หนู ก็สามารถเลี้ยงในตู้แบบเปิดโล่งด้านบนก็ได้ ไม่ต้องกลัวเจ้าตุ๊กแกชนิดนี้ปีนหนีหายไป

          "ตุ๊กแกตาหวานเลี้ยงง่าย ไม่ต้องปิดฝากรงหรือตู้ก็ได้ เพราะตุ๊กแกชนิดนี้เป็นตุ๊กแกที่ไม่สามารถปีนผนังได้อยู่แล้ว เวลาจัดตู้ก็สามารถจัดตู้เป็นแบบสวยงาม รองพื้นด้วยทราย มีโขดหินประดับ ถ้านำไปเลี้ยงควรจะมีตู้กระจกสักใบ หากเลี้ยงตัวเดียวใช้ตู้ขนาด 12 นิ้ว หากเลี้ยงเป็นคู่ก็ควรใช้ตู้ประมาณ 24 นิ้ว แต่ส่วนใหญ่จะแยกเลี้ยงเดี่ยวมากกว่า เพราะถ้าไม่ถึงช่วงผสมพันธุ์จริงๆ ตุ๊กแกจะกัดกัน โดยเฉพาะถ้าตัวเมียไม่พร้อมหรืออารมณ์ตัวผู้ไม่ดี มันก็อาจจะกัดกันเลย"

          คุณส้ม กล่าวเสริมอีกว่า ถ้าจัดตู้เลี้ยงไว้ในห้องแอร์ควรมีการจัดไฟเพื่อให้ความอบอุ่น เพราะตุ๊กแกตาหวานนับเป็นสัตว์เลื้อยคลานจากทะเลทราย ซึ่งจะต้องกักเก็บความร้อนในตอนกลางวันเพื่อนำมาใช้ตอนกลางคืนที่มีความเย็น ชื้น สัตว์เหล่านี้จึงชอบหลบอยู่ตามใต้ขอนไม้ในตอนกลางวัน กลางคืนจึงจะออกมาหากิน การจำลองตู้ให้มีลักษณะใกล้เคียงธรรมชาติจึงเหมาะที่สุดในการเลี้ยง จะช่วยส่งผลให้เจ้าตุ๊กแกตาหวานร่าเริง แข็งแรง

          นอกจากนี้ ยังพบข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า โดยทั่วไปแล้วตุ๊กแกตาหวานชอบใช้ชีวิตโดยการขุดโพรงฝังตัวอยู่ตามพื้นทราย เพื่อเป็นที่ซ่อนตัวไว้ใช้ดักจับเหยื่อ ซึ่งเป็นแมลงขนาดเล็ก และดูเหมือนว่าจะเป็นนักขุดดินที่ยอดเยี่ยม สามารถขุดโพรงของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว เมื่อนำมาเลี้ยงในตู้จึงควรรองพื้นทรายให้หนาพอเหมาะที่จะรองรับสัญชาตญาณ เดิมของมันด้วยเช่นกัน และให้เหยื่อโปรดของมันเป็นอาหาร อย่างเช่น จิ้งหรีด หนอนนก ที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก เล็กกว่าปากของตุ๊กแก

          "บางคนนำตุ๊กแกไปเลี้ยงแต่ยังไม่เข้าใจว่าต้องทำ อย่างไร อย่างเช่น การเลี้ยงด้วยจิ้งหรีดเพื่อเป็นอาหาร เราต้องเด็ดขาหลังจิ้งหรีดออกด้วย เพราะขาหลังของจิ้งหรีดอาจจะไปตำกระเพาะของตุ๊กแกได้ ส่วนที่เลี้ยงแล้วตุ๊กแกตายกันมาก มักมีสาเหตุหลักๆ มาจากตุ๊กแกติดเชื้อ เมื่อนำมาเลี้ยงใกล้ๆ กัน กรงติดกัน หรือเจ้าของไปจับตัวที่ติดเชื้อแล้วก็มาจับตัวอื่น ทำให้ติดเชื้อไปด้วย เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ทำให้ตุ๊กแกผอม ไม่กินอาหาร และตายไวมาก แค่สัปดาห์เดียวก็ตายเลย ซึ่งก็เท่ากับว่าเงินหมื่นก็จะหายแว่บไปเลย ผู้ที่สนใจซื้อไปเลี้ยงจึงต้องคิดหนักและทำการศึกษามาก่อนอย่างดี"

          ส่วนเจ้าตุ๊กแกตาหวานสีโทนน้ำตาลแดงที่เป็นนางแบบ นายแบบ ให้กับคอลัมน์ฉบับนี้ เป็นเพียงบางสายพันธุ์ของน็อบ เทล เก๊คโค เท่านั้น แต่ที่มีการเพาะพันธุ์ซื้อขายในปัจจุบัน โดยเฉพาะในต่างประเทศนั้นมีตุ๊กแกชนิดนี้อยู่หลากสายพันธุ์มาก แต่ละสายพันธุ์มีลักษณะพิเศษแตกต่างกันออกไป อาทิ สายพันธุ์ levis occidentalis เป็นตุ๊กแกตาหวานที่มีผิวหนังเรียบ หางยาวปานกลางแต่แบนกว้างคล้ายใบโพธิ์ สายพันธุ์ laevissimus มีผิวหนังเรียบเช่นกัน แต่หางเรียวสั้น มีโทนสีจาง แต่มีเส้นพาดสีเข้มบริเวณส่วนหัวและโคนหาง ส่วนสายพันธุ์ deleani หางเรียวเป็นปล้องถี่ยาวสมส่วน เด่นที่ริ้วยาวสีม่วงเข้มและสีขาวที่พาดสลับไปมาบนสำตัวสีน้ำตาลเข้ม

          แต่ น็อบ เทล เก๊คโค บางสายพันธุ์ก็มีรูปร่างพิเศษต่างไปทางด้านดุดันเสียมากกว่า เช่น สายพันธุ์ wheeleri cinctus ตุ๊กแกลายพาดขนาดค่อนข้างใหญ่ มีตุ่มเต็มตัว ดูแปลกแบบน่าขนลุกพอๆ กับสายพันธุ์ asper และ amyae แต่สองพันธุ์หลังนี้มีหางสั้นมาก ตุ่มที่กระจายอยู่เต็มตัวกลับเป็นตุ่มหนาม หายาก และมีราคาสูงถึงหลักแสนบาททีเดียว

          อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ชนิดใด สายพันธุ์ใด เมื่อใครก็ตามสนใจนำมาเลี้ยงแล้วก็ต้องคำนึงด้วยว่า สัตว์ตัวนั้นก็มีชีวิต มีอายุไขเช่นกัน อย่างเจ้าน็อบ เทล เก๊คโค นี้ ก็มีช่วงอายุยาวนานถึง 8 ปี ถ้ารักจริง ชอบจริง ก็อย่าเพิ่งทิ้งกลางคันด้วยการปล่อยสู่ธรรมชาติ เพราะอาจทำลายระบบนิเวศน์เดิมอย่างที่สังคมกังวล

          แต่ถ้าเบื่อจริง ไม่สะดวกเลี้ยงอีกต่อไปด้วยความจำเป็น คุณส้มแนะนำว่ามอบเจ้าสัตว์ตัวนั้นให้กับร้านค้าหรือผู้ที่ต้องการนำไป เลี้ยงต่อเป็นวิธีการที่ดีที่สุด

          เพราะถ้าเบื่อแล้วปล่อย...อีกหน่อยกลุ่มคนรักสัตว์แปลกก็อาจเป็นที่รังเกียจของสังคมเช่นกัน
....................................................

พอแค่นี้กันก่อน ต้องขอขอบคุณข้ามูลดีๆ ของ
http://pet.kapook.com/